พลิกโอกาสธุรกิจยุค “โควิด-19” ด้วยทฤษฎีน้ำครึ่งแก้ว!

โควิด-19, การตลาดออนไลน์

เชื่อว่าหลาย ๆ คนที่ทำธุรกิจอยู่แล้วได้รับผลกระทบจาก โควิด-19 ตอนนี้น่าจะกำลังคิดหนัก และวิตกกังวลว่า  สถานการณ์นี้จะคงอยู่ไปอีกนานแค่ไหน แล้วธุรกิจของเราจะเอายังไงดี ไปต่อ? หรือพอแค่นี้? 

บทความนี้ไม่มีคำตอบให้นะคะ แต่เราอยากบอกว่า บางครั้งการที่เรามัวแต่โฟกัสอยู่กับปัญหา อาจทำให้เราพลาดโอกาสที่รออยู่ข้างหน้าก็ได้ 

เคยได้ยินทฤษฎีน้ำครึ่งแก้วไหมคะ?

ลองดูภาพข้างล่างนี้

น้ำครึ่งแก้ว, การตลาด, โควิดขๅต

คุณมองเห็นอะไรจากภาพนี้?

มีน้ำอยู่ครึ่งแก้ว (Half full) หรือ เหลือน้ำอยู่แค่ครึ่งแก้ว (Half empty)?

คนทำธุรกิจที่มองโลกในแง่ดีจะบอกว่า โชคดีจังเรายังมีน้ำอยู่ครึ่งแก้ว It’s half full! คือมองเห็นสิ่งที่มันมีอยู่ และซาบซึ้งเข้าใจถึงความมีอยู่ของมัน

แต่คนทำธุรกิจที่มองโลกในแง่ร้ายนั้น เขาก็จะบอกว่า มันเหลือน้ำแค่ครึ่งแก้ว It’s half empty! คือมัวแต่เสียใจกับสิ่งมันหายไปแล้ว 

ส่วนคนที่มองโลกตามตรรกะ เขาก็จะบอกว่า แก้วมันใหญ่เกินไปต่างหากล่ะ!

เรื่องนี้บอกเราว่า ในสถานการณ์เดียวกัน คนเรามีวิธีการมองต่างกัน และวิธีการมองของเรานี่แหละที่ส่งผลต่อการกระทำ รวมถึงสิ่งที่เราจะได้รับกลับมาในอนาคตด้วย

คำถาม…คุณมองเห็นอะไรจากสถานการณ์โควิด-19 ครั้งนี้?

Every cloud has a silver lining

ในเรื่องร้ายๆ ยังมีสิ่งดีๆ อยู่

คุณมีทางเลือกที่จะพลิกวิกฤติเป็นโอกาส เริ่มต้นจากการเปลี่ยนมุมมองและวิธีคิดของเราก่อน มาลองทบทวนดูทีละข้อนะคะว่า ในเรื่องร้าย ๆ ครั้งนี้ มีโอกาสอะไรดี ๆ สำหรับธุรกิจของเราบ้าง

1.โอกาสที่ทบทวนว่าอะไรเวิร์ก? ไม่เวิร์ก?  

Yaakov Kaufman อาจารย์และนักออกแบบอุตสาหกรรมซึ่งมีผลงาน innovative designs มากมาย ตั้งแต่เก้าอี้ โคมไฟ อุปกรณ์เครื่องใช้ในสำนักงาน ซึ่งล้วนแสดงให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์ และการมองโลกในแง่ดีของเขา เคยพูดกับนักศึกษาของเขาไว้ว่า

“it is easy to identify what is wrong. But what can we learn from it? To not do it again? This is not the way of the creative mind. It is much better to identify what our friend here did right, what worked, and next time, try to do more of ‘what works,’ instead of avoiding the things that did not.”

“มันง่ายจะที่บอกว่าอะไรคือปัญหา แต่สิ่งสำคัญยิ่งกว่าคือเราเรียนรู้อะไรจากปัญหานี้ การเลิกทำและทิ้งมันไปเลย ไม่ใช่วิถีของคนที่มี creative mind จะดีกว่าไหมถ้าเรามาวิเคราะห์กันดูว่า อะไรที่เราทำได้ดีจากงานชิ้นนี้ อะไรที่ทำแล้วมัน work แล้วเราก็ทำให้มันดีขึ้นไปอีก แทนที่จะคิดถึงแต่ปัญหา และหาทางหลบเลี่ยงมัน” 

ธุรกิจที่กำลังเผชิญวิกฤติโควิด-19 อยู่ก็เหมือนกัน ช่วงเวลานี้แทนที่จะหยุดทำการตลาดไปเลยดื้อ ๆ จะดีกว่าไหมถ้าเราได้ใช้โอกาสนี้นั่งคิดทบทวนว่า ที่ผ่านมากลยุทธ์ไหน เครื่องมือไหน ที่เราใช้แล้วได้ผลดีกับธุรกิจจริง ๆ แล้วเราก็มาโฟกัสกับการทำสิ่งนั้นให้มันดีขึ้นไปอีก 

มองหาโอกาสใหม่ ๆ ใช้นวัตกรรม และทำสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้ดีขึ้นไปอีก นั่นต่างหากคือทางออก นั่นต่างหากคือวิถีของคนทำธุรกิจแบบคิดบวก

2. โอกาสที่จะริเริ่มสิ่งใหม่ที่ไม่เคยทำมาก่อน

วันก่อนเพื่อนของเราคนหนึ่งพูดขึ้นว่า เหตุการณ์โควิด-19 ทำให้เขาสั่งซื้อสินค้าออนไลน์เป็นครั้งแรก ทั้งที่ไม่เคยคิดจะช็อปปิ้งด้วยวิธีนี้มาก่อน และพบว่ามันเป็นช่องทางที่สะดวกสบาย จนเขาติดใจสั่งซื้อสินค้าต่อไปอีกหลายอย่าง

ไวรัสโควิด-19 จำกัดกรอบการใช้ชีวิต ทำให้เราต้องดิ้นรนหาวิธีใหม่ ๆ เพื่อให้ใช้ชีวิตอยู่ได้ การทำธุรกิจวันนี้ก็เหมือนกัน สถานการณ์บีบบังคับจนเราต้องถอยหลังจนมุม เมื่อข้างหลังไม่มีพื้นที่ให้ถอยอีกต่อไป สิ่งที่ต้องทำคือพุ่งไปข้างหน้าเท่านั้น ด้วยการปรับโมเดลธุรกิจใหม่ วันนี้เราได้เห็นหลาย ๆ ธุรกิจที่ไม่เคยทำการตลาดออนไลน์มาก่อน เริ่มหันมาใช้ช่องทางนี้ ใช้ chatbot ใช้ messenger app สื่อสารพูดคุยกับลูกค้า หรือทำ live video โชว์สินค้าแทนที่จะขายผ่านหน้าร้าน หรือริเริ่มบริการเดลิเวอรี่ ทั้งหมดนี้คือโอกาสใหม่ ๆ ที่ธุรกิจค้นพบจากวิกฤติในครั้งนี้

3. โอกาสที่จะเอาชนะคู่แข่ง

Warren Buffett นักลงทุนระดับตำนาน หนึ่งในมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลก บอกว่าถ้าอยากรวยละก็…

“Fearful when others are greedy and greedy when others are fearful.” 

“จงกลัวเวลาที่คนอื่นกำลังโลภ และจงโลภเวลาที่คนอื่นกำลังกลัว”

Warren Buffett

จากสถานการณ์ตอนนี้จะเห็นว่า คู่แข่งของเราหลายๆ ราย ลดงบทำการตลาดลง ถ้ามองในแง่ดี คือเราจะมีคู่แข่งน้อยลง ทำให้เวลาที่เราทำโฆษณาออนไลน์ เช่น แคมเปญประเภท pay-per-click ก็มีโอกาสที่จะได้ impression มากขึ้น และ cpc ลดลง เพราะคู่แข่งไม่ได้ bid ราคาแข่งกันดุเดือดอย่างแต่ก่อน 

4. โอกาสที่จะปรับสมดุลในการใช้ชีวิต

3 ข้อที่กล่าวไปข้างต้น เป็นการมองหาแง่ดีในการทำธุรกิจ แล้วในแง่การใช้ชีวิตล่ะ เหตุการณ์โควิด-19 ให้อะไรกับเราบ้าง

ที่ผ่านมา คนรุ่นใหม่มักจะเรียกร้องการใช้ชีวิตแบบ Work-Life Balannce แต่การแข่งขันบนโลกธุรกิจทำให้หลาย ๆ ครั้งเราใช้ชีวิตแบบนั้นไม่ได้ และงานที่หนักเกินไปจนเบียดเบียนเวลาส่วนตัว เป็นหนึ่งในเหตุผลหลัก ที่ทำให้พนักงานอยากลาออกจากบริษัทมากที่สุด!

แต่ตอนนี้มาตรการ social distancing ทำให้หลาย ๆ บริษัทตัดสินให้พนักงานสามารถทำงานจากที่บ้านได้ (remote work) สำหรับพนักงาน นี่เป็นโอกาสที่จะได้อยู่กับครอบครัว และมีเวลาให้ตัวเองมากขึ้น ที่สำคัญคือหลาย ๆ คนสามารถทำงานได้ productive มากกว่าตอนอยู่ออฟฟิศด้วยซ้ำ เพราะไม่มีสิ่งเร้าอื่น ๆ มากวนใจ

สำหรับเจ้าของธุรกิจ remote work ช่วยลดต้นทุนในการบริหารจัดการ เพราะพนักงานทำงานจากที่บ้านได้ ไม่ต้องใช้ทรัพยากรของบริษัท จึงสามารถนำเงินส่วนนี้ไปลงทุนในสิ่งอื่น ๆ ที่จะทำกำไรให้บริษัทได้อีก

โลกเป็นอย่างไร อยู่ที่เรามองมันอย่างไร  

ความมหัศจรรย์อย่างหนึ่งของจิตใจมนุษย์ คือเราสามารถเลือกได้ว่า เราจะมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้อย่างไร 

มองเป็นสิ่งสวยงาม หรือ มองเป็นความเลวร้าย 

มองเป็นความท้าทาย หรือ มองเป็นปัญหา 

แก้วน้ำหนึ่งใบ สองคนมองเห็นไม่เหมือนกัน

แล้วคุณล่ะ เลือกจะมองมันแบบไหน?

Kalyakorn Maswongssa

Recent posts

Brand Lift Study

Heroleads x Betadine วัดความสำเร็จธุรกิจ ผ่าน Brand Lift

Heroleads x Bet...
google tips for navigating third party cookie

เตรียมตัวบอกลา Third Party Cookies ในปี 2024

เตรียมตัวบอกลา ...
digital-marketing-agency-Revise-th1

10 สิ่งที่ควรรู้! ก่อนทำการตลาดกับเอเจนซี่

10 สิ่งที่ควรรู...

ปรึกษาแผนการตลาด
กับผู้เชี่ยวชาญของเรา

กรอกข้อมูลให้เราติดต่อกลับ เพื่อรับคำแนะนำ และ Solution ที่ตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจคุณ พร้อมข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อเริ่มต้นแคมเปญ