ในวันที่คนเริ่มคุ้นเคยมากขึ้นกับการใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น AI หรือ ระบบ Automation ต่าง ๆ หลาย ๆ อย่างที่เราเคยคิดว่ามันจะมีแค่ในหนังหรือภาพยนต์ วันนี้มันเกิดขึ้นจริงแล้ว และมีแนวโน้มว่าจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนในสังคมอีกไม่ช้า
ภาพจำของผู้ช่วยอย่าง “J.A.R.V.I.S.” จากหนังเรื่อง Iron Man น่าจะเป็นตัวอย่างช่วยทำให้เห็นภาพของเทคโนโลยีที่เรากำลังจะพูดถึงในครั้งนี้
“ระบบการค้นหาด้วยเสียง” หรือ “Voice Search” และ Smart Speaker ที่ถ้าเราอยากจะค้นหาอะไร ก็สามารถสั่งการได้ด้วยการพูดทันที ซึ่งการมาของเทคโนโลยีนี้สร้างความตื่นตัวอย่างมหาศาล ในมุมของผู้ใช้มันช่วยให้ชีวิตนั้นสะดวกมากขึ้นจริง ๆ และแน่นอนในมุมของนัก การตลาดออนไลน์ ก็ถือว่า ‘งานเข้า’ เหมือนกัน เพราะต้องเตรียมตัวปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อให้ทันกับ behavior ของผู้ใช้ที่อาจจะกำลังเปลี่ยนไปในอนาคตอันใกล้ วันนี้ Heroleads ดิจิตอลเอเจอนซี่ จะมาเจาะลึกว่ามีอะไรบ้างที่นัก การตลาดดิจิตอล อย่างเรา ต้องเตรียมตั้งรับและปรับตัวกับการมาของระบบ Voice Search และเจ้า Smart Speaker ในครั้งนี้

1. คีย์เวิร์ดแบบภาษาพูด (Conversational Keywords)

สิ่งสำคัญสิ่งแรกที่นัก การตลาดดิจิตอล ต้องทำความเข้าใจก็คือ ภาษาพูดกับภาษาเขียนนั้น ‘ต่างกัน’ การปรับใช้ ‘คีย์เวิร์ด’ ที่เหมาะกับ Voice Search ต้องเป็น คีย์เวิร์ด ที่มีความเป็นภาษาพูดมากยิ่งขึ้น รวมถึงการใช้ คีย์เวิร์ดประเภท ‘Long-tail keywords’ หรือกลุ่มคำ มากขึ้นด้วย เพราะธรรมชาติของมนุษย์นั้นเวลาค้นหาด้วยเสียงหรีอ Voice Search นั้นจะพูดเป็นกลุ่มคำมากกว่าคำเดี่ยว ๆ นอกจากนั้นก็ควรต้องปรับการ ทำคอนเทนต์ ให้ ‘ตอบคำถามที่เจาะจง’ ไปที่ความต้องการของลูกค้าให้มากที่สุด เพื่อให้เวลาลูกค้าค้นหาด้วย Voice Search จะได้มีโอกาสเจอแบรนด์ของเราก่อนคู่แข่ง

2. ปรับให้เข้ากับการค้นหาในแต่ละท้องถิ่น (Local Search Optimization)

หลาย ๆ ครั้งที่การค้นหาด้วยเสียงหรือ Voice Search จะใช้เพื่อค้นหาธุรกิจหรือบริการที่เกี่ยวข้องกับย่านนั้น ๆ ดังนั้นคำถามสำคัญที่นัก การตลาดดิจิตอล ต้องเช็คให้แน่ใจ ก็คือการ ทำคอนเทนต์ ของแบรนด์เรา มีการปรับให้ค้นเจอได้ง่าย เวลาใช้คีย์เวิร์ดในท้องถิ่นนั้น ๆ หรือยัง? เพราะนอกจากจะมีผลในเรื่องของ การทำSEO แล้วก็ยังมีผลต่อการค้นหาด้วย Voice Search ด้วยเช่นกัน

3. ปรับให้เหมาะกับการใช้งานบนมือถือ (Mobile Optimization)

แน่นอนว่าการค้นหาของคนในยุคปัจจุบันเกิดขึ้นบนมือถือเยอะมาก รวมถึงการค้นหาด้วยเสียงหรือ Voice Search ด้วยเช่นกัน เราจึงควรปรับให้เว็บไซต์ของเรานั้น Mobile-Friendly ที่สุด ไม่ว่าจะเป็นความเร็วในการโหลด (Page Speed) การ ทำคอนเทนต์ รวมถึงดีไซน์ต่าง ๆ ที่ควรออกแบบให้เหมาะกับการใช้งานบนมือถือ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าเมื่อใช้งาน

4. ปรับแผนการ ทำคอนเทนต์ (Content Strategy)

Content marketing เป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของ การตลาดดิจิตอล การปรับ ทำคอนเทนต์ ให้เหมาะกับธรรมชาติของคนที่ใช้ Voice Search นอกจากการปรับใช้คีย์เวิร์ดที่ได้พูดไปในข้อ 1 แล้ว หัวข้อรวมถึงเนื้อหาของคอนเทนต์ก็ควรปรับให้เกี่ยวข้องกับธุรกิจและบริการของเรา โดยมีข้อมูลครบถ้วนตามสิ่งที่คนอาจจะใช้ค้นหาด้วยเสียง ไม่ว่าจะเป็นคำถามทั่วไปหรือเฉพาะเจาะจง เพื่อให้สามารถจับกลุ่มคนที่ใช้การค้นหาด้วยเสียงหรือ Voice Search ได้ดียิ่งขึ้น

5. โฆษณาเพื่อการค้นหาด้วยเสียง (Voice Search Ads)

การค้นหาด้วยเสียงหรือ Voice Search กำลังเติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งที่นัก การตลาดดิจิตอล ไม่ควรพลาดสิ่งสุดท้าย นั่นก็คือ Voice Search Ads หรือ โฆษณาเพื่อการค้นหาด้วยเสียง ที่ Social Media ต่าง ๆ เริ่มมีการพัฒนาออกมา เพื่อช่วยให้สามารถออกแบบโฆษณาให้เหมาะกับคนที่ค้นหาด้วยเสียงได้ดียิ่งขึ้นเมื่อ ทำการตลาดออนไลน์ ติดตามอัปเดทเทรนด์การออกแบบโฆษณาอยู่เสมอเพื่อไม่ให้ตกขบวน

สรุปก็คือ การมาของระบบ Voice Search นั้นจะยกระดับ การตลาดดิจิตอล ให้สนุกยิ่งขึ้น ไม่ว่าแบรนด์หรือ ดิจิตอลเอเจนซี่ เองก็ต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงนี้ รวมถึงติดตาม Behavior ของผู้ใช้อยู่เสมอ เพราะมีโอกาสสูงมากที่ การค้นหาด้วยเสียง หรือ Voice Search จะกลายเป็นหนึ่งในการค้นหาหลักในอนาคตอันใกล้นี้

Heroleads ในฐานะ ดิจิตอลเอเจนซี่ ที่ดูแลลูกค้ามากหลากหลายแบรนด์ เราจึงเตรียมตัวปรับแผน การตลาดดิจิตอล หรือ การตลาดออนไลน์ ให้พร้อมสำหรับการค้นหาด้วยเสียง เราคิดและวางแผนแบบ Growth Marketing ที่เป็นการตลาดแบบยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการตั้งเป้าหมาย การทำSEOให้ติดหน้าแรก หรือ การวางแผน ทำคอนเทนต์ ที่ใช้ภาษาพูดมากขึ้น ทั้งหมดเพื่อให้ลูกค้าของเรามีโอกาสถูกค้นพบเป็นอันดับแรก ๆ เมื่อใช้การค้นหาด้วยเสียง หรือ Voice Search