SEO กับ SEM ต่างกันอย่างไร? ควรโฟกัสแบบไหนให้ตอบโจทย์ที่สุด

SEO vs SEM Header

บทความน่าอ่าน

ในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในการดำเนินธุรกิจ การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของแนวความคิด การวางรากฐาน เป้าหมาย ตลอดจนการดำเนินธุรกิจในยุคดิจิทัลนี้เป็นการสร้างความท้าทายให้กับผู้ประกอบการอยู่ไม่น้อย ส่งผลให้ผู้ประกอบการหลายรายต่างหันมาปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ที่ใช้และโฟกัสการทำการตลาดออนไลน์มากขึ้น 

เมื่อการทำธุรกิจถูกขับเคลื่อนด้วยคำว่าดิจิทัล การเข้าถึงผู้บริโภคก็เช่นกัน การโปรโมทสินค้าและบริการบนโลกออนไลน์จึงเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากสื่อโซเชียลมิเดียทั้ง Facebook, Instagram, LINE หรืออื่นๆแล้ว ‘หน้าเว็บไซต์’ ถือเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าและบริการของเราได้มากขึ้น แต่แค่หน้าเว็บไซต์อย่างเดียวคงยังไม่เพียงพอที่จะดึงดูดความสนใจผู้คนได้ ดังนั้นการจะทำให้หน้าเว็บไซต์ติดอันดับหน้าแรกบน Search Engine อย่าง Google จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะสามารถขยายฐานลูกค้าและทำให้ธุรกิจของคุณเป็นที่รู้จักมากขึ้นได้

วันนี้ Heroleads Thailand ขอนำเสนอตัวช่วยดีๆที่จะทำให้หน้าเว็บไซต์ธุรกิจของคุณติดอันดับหน้าแรกบน Search Engine เช่น Google โดยอาศัยการใช้กลยุทธ์ SEO และ SEM หลายคนอาจจะพอคุ้นเคยกับคำว่า SEO แต่คำว่า SEM ล่ะ คืออะไร? มีความสัมพันธ์กับ SEO อย่างไร? และควรใช้แบบไหนให้ตอบโจทย์กับธุรกิจของคุณมากที่สุด แต่ก่อนจะไปดูว่าแบบไหนควรใช้อย่างไร เราอยากให้คุณเข้าใจความหมายของทั้ง SEO และ SEM ก่อนว่าคืออะไร?

 

SEO คืออะไร?

SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization เป็นกระบวนการทำการตลาดออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับระบบ Search Engine เช่น Google, Bing, Yahoo เป็นต้น โดยสามารถช่วยให้เว็บไซต์ธุรกิจของคุณติดหน้าแรกบน Search Engine ที่กล่าวมาได้ เพิ่มเติมคือ SEO นั้นจะต่างกับกระบวนการ SEM ตรงที่ไม่เสียค่าโฆษณา แต่จะเป็นการใช้เทคนิคอื่นๆแทน เช่น การปรับแต่งรูปแบบเว็บไซต์ และการใช้ Keyword ซึ่งสามารถเลือกคีย์เวิร์ดที่คนนิยมค้นหามากที่สุดมาปรับใช้ในการทำการตลาด อีกทั้งยังเป็นตัวแปรสำคัญในการทำอันดับ (Ranking) บนหน้า Search Engine อีกด้วย กระบวนการ SEO นอกจากจะเพิ่มยอด Traffic เข้าเว็บไซต์แล้วยังช่วยสร้าง Lead Generation ที่มีคุณภาพและความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ธุรกิจในระยะยาว เพื่อนำไปต่อยอดทางธุรกิจได้อีกด้วย อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้าลักษณะของ SEO จะเป็นการทำงานที่ไม่ซื้อโฆษณา เป็นการ Search แบบ Organic ดังนั้นการจะทำ SEO ให้สำเร็จได้ต้องอาศัย 2 องค์ประกอบหลัก ได้แก่  

  1. SEO On-site, On-page (หน้าตาของเว็บไซต์) 

คือเนื้อหา และโครงสร้างต่างๆที่อยู่ภายในเว็บไซต์ ซึ่งเราสามารถเพิ่มประสิทธิภาพโดยการปรับปรุงเนื้อหาหรือปรับเปลี่ยนรูปแบบเว็บไซต์ต่างๆ ภายใต้ขอบเขตที่เราสามารถควบคุมได้ ไม่ว่าจะเป็น ขนาดของภาพ (Image Size) ที่ปรากฏอยู่บนหน้าเว็บไซต์มีขนาดไม่ใหญ่จนเกินไป  การใส่ข้อมูลใน Meta Tag  การออกแบบเว็บไซต์ให้สามารถรองรับได้ทุกอุปกรณ์ (Responsive Web Design) การจัดวางเนื้อหาหรือ Heading ให้เหมาะสมกับหน้าเว็บ ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ (Page Speed) และรวมถึงข้อความ หรือบทความประเภท Blog โดยอาศัยการกระจายคำหลัก (Keyword) ไปตามจุดต่างๆในแต่ละหน้าของเว็บไซต์ซึ่งอยู่ในปริมาณที่ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป รวมทั้งการจัดระเบียบของข้อมูลที่สามารถเป็นประโยชน์ต่อผู้เข้าชมเว็บไซต์ผ่านช่องทางการค้นหา ทั้งหมดนี้เพื่อเป้าหมายให้ Google สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ของเราได้ง่ายขึ้น รวมถึงเข้าใจเนื้อหาบนเว็บไซต์ของเราได้ดีขึ้น

  1. SEO Off-page, OutReach, Link Building

คือการปรับแต่งส่วนประกอบอื่นนอกเหนือจากหน้าเว็บไซต์ หรือจะเรียกว่าการที่ทำให้เว็บไซต์เราถูกอ้างอิงและเป็นที่รู้จักมากขึ้นบนโลกออนไลน์โดยการสร้างเนื้อหาพร้อมแทรกคำค้นหาหลัก (Keyword) ลงไปในบทความพร้อมลิงก์ที่ชี้กลับมายังหน้าเว็บไซต์ของเรา หรือจะเน้นการสร้างลิงก์ (Link Building) ที่มีคุณภาพโดยอ้างอิงจากเว็บไซต์อื่นมายังหน้าเว็บไซต์เรา ตัวอย่างเช่น การแชร์บทความ หรือการแนะนำบทความเพื่อนำไปอ่านต่อ เป็นต้น อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือเว็บไซต์ต้นทางควรจะเป็นเว็บไซต์ที่มีคุณภาพด้วยเช่นกัน การสร้างลิงก์จึงจะมีประสิทธิภาพและได้ผลที่ดี ยิ่งมีลิงก์จากเว็บไซต์ที่มีคุณภาพกลับมาหาเว็บไซต์เรามากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้ผู้คนเห็นเว็บไซต์ของเรามากขึ้น อีกทั้งยังดูดีในสายตาของ Search Engine รวมถึงเป็นการส่งเสริมให้เว็บไซต์ของเรามีความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้นอีกด้วย

 

SEM คืออะไร?

SEM ย่อมาจาก Search Engine Marketing เป็นการทำการตลาดบน Search Engine เช่นเดียวกันกับ SEO แต่ต่างกันตรงที่ต้องมีการประมูล Keyword เพื่อให้โฆษณาแสดงผลตามการค้นหาบนหน้าแรก โดยมีการเสียค่าใช้จ่ายในรูปแบบ PPC (Pay Per Click) คือการซื้อโฆษณาในรูปแบบจ่ายเงินตามจำนวนการคลิก โดยจ่ายเงินเมื่อมีผู้คลิกเข้าไปสู่หน้าเว็บไซต์ของเราผ่านโฆษณาเท่านั้น โดยเราสามารถกำหนด Keyword ต่างๆ ที่เราต้องการลงโฆษณาได้ด้วยตนเอง รวมถึงปรับเปลี่ยนและเพิ่ม Keyword ได้ตลอดเวลา แต่หนึ่งในปัจจัยที่ควรทราบคือ Quality Score ซึ่งส่งผลกับอันดับตำแหน่งของโฆษณาโดยตรง เพราะระบบจะประมวลว่า Keyword ที่ประมูลมานั้นมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์ของเรามากน้อยอย่างไร ยิ่ง Keyword ไหนที่เป็นที่นิยมมีคนค้นหามาก คู่แข่งในการประมูลย่อมมีมากขึ้น และราคาในการประมูลก็จะสูงตามไปด้วย ดังนั้นเมื่อเราหยุดจ่ายเงินค่าโฆษณาเมื่อไร โฆษณาก็จะหยุดไปด้วย ซึ่งอาจส่งผลกับยอด Traffic ที่เคยได้รับก่อนหน้า หากพูดถึงข้อดีของการทำ SEM นั้นคือ SEM ใช้เวลาในการทำให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกบน Search Engine อย่าง Google ได้เร็วกว่าการใช้กระบวนการแบบ SEO แต่อันดับตำแหน่งนั้นก็จะไม่แน่นอนเนื่องจาก Keyword แต่ละคำ อย่างที่ได้กล่าวไป หาก Keyword ไหนมีการแข่งขันสูง อาจทำให้เราต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเพื่อมาสู้กับคู่แข่งเพื่อคงตำแหน่งเดิมไว้ แต่ SEM ก็ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่มีประโยชน์และสะดวกต่อผู้ใช้งานเป็นอย่างมาก

เปรียบเทียบการทำระหว่าง SEO กับ  SEM แตกต่างกันอย่างไร?

ควรโฟกัสที่ SEO หรือ SEM ?​

ความจริงแล้วนั้น SEO ถือเป็นกระบวนการหนึ่งที่อยู่ภายใต้ SEM ดังนั้นถ้าถามว่าแบรนด์ธุรกิจควรโฟกัสสิ่งไหนมากกว่ากัน คำตอบคือควรทำสองอย่างควบคู่กันไปทั้ง SEO และ SEM ไม่ควรเลือกกระบวนการใดกระบวนการหนึ่ง เพราะแต่ละกระบวนการต่างมีข้อดีที่จะช่วยเสริมกันและกัน และยังได้รับประโยชน์ในด้านที่ต่างกันอีกด้วย แม้ว่าในการทำ SEO นั้นค่อนข้างใช้เวลาในการทำมากกว่า SEM โดยใช้เวลาอย่างน้อยประมาณ 6 เดือนขึ้นไป แต่ในขณะเดียวกันเราก็สามารถทำ SEM ควบคู่กันไปได้เลย เพราะจะส่งผลให้ SEO มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นด้วยเช่นกัน 

ตัวอย่างเช่น หากแบรนด์ธุรกิจมุ่งเน้นแค่เฉพาะการทำ SEM จะทำให้เสียค่าใช้จ่าย CPC (Cost Per Click) ซึ่งหมายความว่า ถ้ามีการคลิกที่โฆษณานั้นๆ ก็จะเสียเงินในราคาที่กำหนดไว้ เพราะว่าเว็บไซต์ยังมี Quality Score ที่น้อย ดังนั้นควรทำ SEO ควบคู่ไปด้วย เพราะจะได้ Quality Score เพิ่มขึ้นจาก Landing Page รวมทั้งเป็นการวางรากฐานเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์

อย่างไรก็ตามแม้ทั้ง SEO และ SEM แตกต่างกันด้วยค่าใช้จ่ายและระยะเวลา แต่เป้าหมายที่ทั้งสองมีเหมือนกันคือการทำให้หน้าเว็บไซต์ของเราให้มาปรากฏอยู่บนหน้าแรกของ Search Engine พร้อมทั้งยังช่วยเพิ่ม Traffic ให้เว็บไซต์ของเราอีกด้วย

ดังนั้นการจะทำ SEO และ SEM ให้มีประสิทธิภาพที่ดี ควรเริ่มจากการวางแผนการตลาดที่ดี โดยพิจารณาเรื่องระยะเวลาและค่าใช้จ่าย หรืองบประมาณในการทำโฆษณาให้เหมาะสม เพราะหากผลลัพธ์ที่ได้ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์การไว้ ควรจะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางด้านการตลาดออนไลน์ให้ช่วยวางแผนดังกล่าวเพื่อการเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพของธุรกิจคุณ 

Heroleads Thailand ขอเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการผลักดันธุรกิจของคุณให้เติบโตและก้าวหน้าในยุคดิจิทัลนี้! ปรึกษาด้านการตลาดกับเราได้ที่ https://heroleads.asia

 

 

Kalyakorn Maswongssa

Recent posts

Brand Lift Study

Heroleads x Betadine วัดความสำเร็จธุรกิจ ผ่าน Brand Lift

Heroleads x Bet...
google tips for navigating third party cookie

เตรียมตัวบอกลา Third Party Cookies ในปี 2024

เตรียมตัวบอกลา ...
digital-marketing-agency-Revise-th1

10 สิ่งที่ควรรู้! ก่อนทำการตลาดกับเอเจนซี่

10 สิ่งที่ควรรู...

ปรึกษาแผนการตลาด
กับผู้เชี่ยวชาญของเรา

กรอกข้อมูลให้เราติดต่อกลับ เพื่อรับคำแนะนำ และ Solution ที่ตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจคุณ พร้อมข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อเริ่มต้นแคมเปญ